ฉันเคยถามตัวเองอยู่เสมอๆ ตั้งแต่สมันที่เรียนประถม มัธยม จนกระทั่งมหาวิทยาลัย ว่าเรียนคณิตศาสตร์ไปทำไม แล้วเรียนไปทำไมเยอะแยะ
เช่น ชั้นประถม จะเรียน บรรยัติไตรยางค์ ค.ร.ม. ห.ร.ม. ฯลฯ ไปทำไม
ชั้นมัธยมปลาย จะเรียน เซต แคลคูลัส ตรีโกณมิติ เอกซ์โพเนนเชียล ฯลฯ ไปทำไม
แถมมีเรื่องสถิติ ที่เกียจแสนเกียจทุกปี ไม่รู้จะเอามาใส่ในบทเรียนทำไม ไอ้คนแต่งหนังสือทำไมไม่ลองมานั่งเรียนเอง รู้ไหมว่ามันน่าเบื่อ แถมไม่สนุกเอาเสียเลย
แน่นอนฉันก็ถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเรียนคณิตศาสตร์ไปทำไม ทั้งๆที่เราใช้คณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวันแค่ บวก ลบ คูณ หาร
เช่น เวลาซื้อแตงโม ลูกละ 40 บาท 1 ลูก จ่ายเงินแม่ค้าไป 100 บาท แม่ค้าต้องทอนเงินให้เรา 60 บาท (100 – 40 = 60)
เวลาไป 7/11 ซื้อมาม่า ถุงละ 6 บาท 3 ถุง เราต้องจ่ายเงินให้พนักงาน 18 บาท (6 x 3 = 18)
ซื้อขนมปังสังขยา 1 ชุด 20 บาท กับน้ำเต้าหู้ ถุงละ 5 บาท 1 ถุง ก็จ่ายเงิน 25 บาท (20 + 5 = 25)
ซื้อเค้กขนาด 2 ปอนด์ มา 1 ก้อน ทางร้านตัดมาให้เราแล้ว ซึ่งมีทั้ง หมด 8 ชิ้น มี สมาชิกในครอบครัวอยู่ 4 คน ก็แบ่งได้คนละ 2 ก้อน (8 / 4 = 2)
เห็นไหมว่าไม่เห็นต้องเรียนอะไรยุ่งยาก ซับซ้อน แต่ถึงไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม แต่ฉันก็หนีมันไม่พ้นอยู่ดีพอจบ ม.ปลาย ก็นึกว่าจะ ไชโย! ได้แล้วเชียว คิดว่าไม่ต้องเรียน คณิตศาสตร์ในมหาวิทยาลัยอีก ที่ไหนได้ ก็ ปี1 เทอมแรกก็จ๊ะเอ๋เลย คณิตศาสตร์ 101 Oh no! ตามมาด้วย 102 วิชาสถิติ 1 สถิติ 2 วิชาแคลคลูลัส 1 และ 2 แค่นั้นยังไม่พอ ยังมีวิชาอื่นที่เป็นวิชาเฉพาะของคณะนั้นๆที่จะต้องเรียน ประมาณว่าต้องเจอคณิตศาสตร์ ทุกเทอม ไม่เว้น Summer สุดยอดหนีไม่พ้นจริงๆ
สุดท้ายฉันก็ได้คำตอบว่าเรียนคณิตศาสตร์ไปทำไม ตอนเรียนตัวคณะไปได้ สัก 3 – 4 ตัว แน่นอนที่ฉันเคยคิดว่าใช้แค่ แค่ บวก ลบ คูณ หาร ธรรมดานั้น ฉันคิดผิดถนัด เพราะมันมีอะไรมากกว่านั้น
1. คณิตศาสตร์ทำให้เราเป็นคนมีเหตุมีผล
เช่น 1 + 1 = 2 ถ้า 1 อยู่ของมันโดดๆ มันจะไม่มีวันเท่ากับ 2 ได้เลย แต่มันมี 1 อีกตัวเข้ามาทำ operation ทำให้มันกลายเป็น 2 หรือเทียบได้กับเราอยู่บ้านของเราดีๆ (1) มีเพื่อนเราขี่รถมอร์เตอร์ไซต์มาชวนเราไปดื่มเหล้า (1) [เหตุ] แล้วเราก็ออกไป (ทำ operation) ทุดท้ายเรากับเพื่อนก็เมากลับบ้าน (2) [ผล] แฮ่ๆ ตัวอย่างไม่ค่อยจะดีสำหรับนักเรียนสักเท่าไหร ขอโทษทีนะคะ
2. คณิตศาสตร์ทำให้เราเป็นคนมีระเบียบ
คุณเคยแก้โจทย์สมการ 3 – 4 ตัวแปรหรือมากกว่าไหม ถ้าเคยคุณคงจะรู้ว่ามันวุ่นวายแค่ไหนหากคุณเป็นคนไม่มีระเบียบ พอคุณเขียนสมการต้นเสร็จแล้วและคุณเริ่มแก้สมการไปเรื่อยๆ คุณจะหาสมการ ที่ 6, 7, 8, … ไม่เจอ สิ่งเดียวที่ฉันจะบอกเด็กทุกคนที่ฉันสอนว่า “กรุณาวางเครื่องหมาย = ให้ตรงกันด้วยนะคะ” แน่นอนเด็กก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ที่ฟังก็ดีไป เวลาเด็กแก้สมาการแล้วคำตอบไม่ถูก เวลาตามหาที่ผิดมันตามหาง่ายว่ามันผิดตรงไหน แต่ได้ที่ไม่ฟังซิ บอกได้คำเดียว “สมน้ำหน้า บอกแล้วไม่เชื่อ ทีนี้แกก็ไปหาที่ผิดเอาเองก็แล้วกัน ฉันไม่ช่วยหาให้แกหรอก ยุ่งอย่างกับลายแทงขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า”
3. คณิตศาสตร์ทำให้เราเป็นคนรอบครอบ
นั่นแหละหนีไม่พ้นเรื่องสมการหลายตัวแปรอีกตามเคย ถ้าคุณรีบแก้ไม่ระวังคำนวณผิดบรรทัดไหนบรรทัดนึง บรรทัดต่อไปก็จะผิดไปเรื่อยๆ ในที่สุดคำตอบที่ออกมาผิด คุณรู้ไหมสมการที่ฉันเคยแก้ให้ 3 – 4 หน้ากระดาษ A4 กว่าจะย้อนมาหาที่ผิดมันเสียเวลาพอๆกับทำใหม่ทั้งข้อ เพราะฉะนั้นเวลาทำต้องค่อยทำ ค่อยๆแก้ มันจะได้ไม่ผิด มันเป็นเครื่องหมายลบ ดันไปบวกซะนี่ ดูเครื่องหมายผิดหน่อยเดียวผิดทั้งข้อ
4. คณิตศาสตร์ทำให้เราเป็นคนรู้จักพลิกแพลง
ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ ยังมีรายการ 180 IQ อยู่หรือเปล่า แต่เหมือนในช่องไม่เห็นแล้ว (ดู TV ไม่บ่อยน่ะ) สมัยเรียนประถม และ มัธยม มันเป็นหนึ่งในรายการที่ฉันชื่นชอบ ในรายการจะมีนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ 3 โรงเรียน แบ่งเป็น 3 ทีม ทีมละ 2 คน แล้วพิธีกรก็จะให้ตัวเลข มา 5 ตัว ให้แต่ละทีม หาวิธีการต่างๆวิธีอะไรก็ได้ทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้ได้คำตอบตามที่พิธีกรกำหนด เช่น 5 9 2 1 8 = 1025 เป็นต้น
ยกตัวอย่างง่ายๆละกัน 2 2 = 4
3 22 = 4
4 2 log 102 = 4
ฯลฯ
มันก็เหมือนชีวิตเรานั่นแหละ เช่น จะไปกรุงเทพไปอย่างไร
1. เดินไป
2. ขับรถยนต์
3. ขี่มอเตอร์ไซต์
4. ขึ้นเครื่องบิน
5. พายเรือ
ฯลฯ
หรือทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จ มันก็มีอยู่หลายวิธี 1 2 3 4 ...ตามวิธีการของแต่ละคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น